Tuesday, July 12, 2016

Superman #2

Superman #2


Superman ได้พา Jon มาดูการทำภารกิจภาคสนามของเขา  เพื่อให้ลูกได้เรียนการใช้พลังให้มากขึ้น 

แต่ทว่าการมาครั้งนี้กลับทำให้เกิดเรื่องที่ไม่คาดคิดขึ้น


Superman ได้พาลูกของเขา Jon บริเวณขั้วโลกเหนือ (หรือใต้หว่า) ซึ่งเขาได้อธิบายว่าที่พวก league คุยกันก่อนหน้านี้เป็นเรื่องของเขาเองไม่ใช่เรื่องของลูก และมันก็มีสัญญาขอความช่วยเหลือมาจากที่นี่เขาเลยขอเป็นคนมาจัดการเอง พร้อมกับขอให้ Jon มาช่วย เพราะเขาอยากให้ Jon ได้เรียนรู้

Superman ได้ลงไปใต้น้ำเพื่อทำการซ่อมแซมเรือดำน้ำที่ดูเหมือนท้องเรือจะมีรูรั่ว และเขาก็ทำได้โดยไม่มีปัญหาอะไร


หลังจากเสร็จงานเขาก็กลับขึ้นมาบนเรือดำน้ำและได้รับขอบคุณจากกัปตันเรือ แต่ในระหว่างที่คุยกันสัตว์ประหลาดที่รูปร่างเหมือนปลาหมึกยักษ์ก็ปรากฎตัวขึ้นมาเข้าเล่นงานเรือดำน้ำ


Superman ได้บอกให้พวกลูกเรือกลับลงไปในเรือและขับมันออกไป ส่วนเขาจะจัดการสัตว์ประหลาดยักษ์เอง โดยเขาได้บอกให้ Jon ช่วยยิงทำลายผลึกคริสตัลตรงดวงตาของมัน ในระหว่างที่ยื้อหนวดของพวกมันไว้ ฝั่ง Jon นั้นกลัวว่าจะยิงใส่พ่อจึงไม่กล้า แต่พ่อของเขาก็บอกให้ยิงออกมา

ซึ่ง Jon ที่ยังคุมแรงไม่ได้ก็ยิงเข้าใส่หลังของพ่อเขาแบบเต็มๆ ทำให้ Jon ไม่อยากจะยิงต่อ

Superman : พ่อรับมันได้น่ะ จอน, มองมาที่พ่อ... พ่อไม่เป็นอะไรหรอก แค่ร้องเพลงผิดคีย์นิดเดียว

Superman : เอาล่ะทีนี้ ลองอีกที

Superman : พ่อเชื่อว่าลูกทำได้


Superman : เพราะลูกคือลูกของพ่อ!

และด้วยความเชื่อมั่น Jon ถอดเสื้อกันหนาวออกเผยให้เห็นชุด Superman ของเขาด้านใน ด้วยดวงตาที่มุ่งมั่น Jon ได้ยิงลำแสงความร้อนออกมาอีกครั้ง และค่อยบีบให้มันเล็กลงตามที่พ่อบอก จนสามารถยิงทำลายผลึกตรงตาของสัตว์ประหลาดได้ในที่สุด


หลังจากนั้นพ่อกับลูกก็ได้มีเวลาผ่อนคลายเพื่อปรับความเข้าใจกัน

Superman : ทีนี้ ได้เสื้อตัวนั้นมายังไงล่ะ

Jon : มันเท่ดีใช่มั้ยล่ะครับ ผมเจอมันในร้านมือสองตอนที่เข้าเมืองกับแม่ มันมีตัวอักษร 'S' บนเสื้อกับทุกๆอย่างที่ผมต้องการ

Superman : พ่อเห็นแล้ว... แล้วทีนี้ ลูกสวมสัญลักษณ์นั่น... เพื่ออะไรกันล่ะ พ่อยอดมนุษย์ตัวจิ๋ว (ซุปเปอร์บอย)?

Jon : ไม่มีเหตุผลครับท่าน ผมแค่เห็นหลายๆคนสวมเสื้อที่มีสัญลักษณ์ วอนเดอร์วูเมิน หรือแม้กระทั่งแบทแมน เยอะแล้ว...

Jon : อีกอย่างผมก็แค่อยากรู้สึกว่าตัวเองเป็น "ยอดมนุษย์" เหมือนพ่อ

Superman จึงสอนลูกว่า เมื่อโตขึ้นไปเขาจะต้องหาเหตุผลสำหรับตัว 'S' ของตัวเอง สำหรับพ่อของเขามันไม่ใช่การมีพลังพิเศษอะไร แต่เป็นการทำในสิ่งที่ถูกต้องในเวลาที่จำเป็น, เวลาที่ไม่มีใครทำได้ ไม่ว่าจะหวาดกลัวหรือไม่ Jon จึงได้บอกความจริงว่าเขาฝ่าฝืนคำสั่งของพ่อใช้พลังกับเหยี่ยวที่โฉบลงมาใส่ Goldie ทำให้มันตาย และเขาก็อยากจะให้พ่อกับแม่ยกโทษให้ ทางพ่อของเขาไม่ว่าอะไร และคิดว่าแม่ของเขาเองก็เช่นกัน เมื่อคุยกันเสร็จพวกเขาก็เดินทางกลับ


ในระหว่างนั้นอะไรบางอย่างได้ดูดกลืนเลือดของ Jon ที่ได้รับบาดเจ็บที่หัวเข่าและตกอยู่แถวนั้นเข้าไป มันวิเคราะห์ได้ว่ามันเป็นเลือดของชาวคริปตัน ตระกูลเอล


Smith Farm 

ครอบครัว Smith ได้มาช่วยกันฝังศพของ Goldie ใต้ต้นไม้ใหญ่ในบริเวณนั้น หลังจากนั้นเขาก็ปีนขึ้นไปบนต้นไม้เพื่อมองดูพระอาทิตย์ยามเย็น แต่ Kathy ก็เดินมาขอนั่งด้วย Jon จึงได้โอกาสถามว่าทำไมเธอถึงไม่บอกพ่อแม่เรื่องที่เขาทำ แต่ Kathy ก็บอกว่าเธอเข้าใจว่ามันควรจะเป็นความลับระหว่างพวกเขา เพราะใครๆต่างก็มีความลับของตัวเองทั้งนั้น

หลังจากนั้นทั้งคู่ก็พูดอยู่สักพักนึงถึงเรื่องของ Jon ซึ่งเขาบอกว่าเขาไม่อยากใช้พลังนี้ไปทำร้ายใคร ทำให้ Kathy คิดว่าเขาเป็นคนที่จิตใจดีมาก และรู้สึกปลอดภัยที่อยู่ข้างๆเขา แต่ไม่ขาดคำอยู่ๆ Jon ก็ออกแรงผิดท่าบีบใส่กิ่งไม้ใหญ่ที่พวกเขานั่งอยู่จนมันหักโค่นลงมา


ฝั่งครอบครัวของเขานั้น แม่ของเขาก็กำลังรักษาหลังของพ่อที่แดงจากการโดน Jon ยิง ทั้งคู่คิดว่าควรจะเลี้ยงดู Jon อย่างไรเพราะสิ่งต่างๆจะเริ่มทำให้ลูกสับสนอย่างแน่นอน แต่ Lois ก็คิดว่าพวกเขาทั้งคู่จะช่วยให้ลูกผ่านไปได้

ในระหว่างนั้นเสียงเคาะประตูบ้านก็ดังขึ้น Kathy ได้ให้ปู่ของเธออุ้ม Jon ที่หมดสติจากการตกลงมาหัวกระแทกพื้นมาส่งที่บ้านสมิธ ปู่ของ Kathy คิดว่าน่าจะพา Jon ไปหาหมอแต่ Clark ได้บอกว่าเขาจะจัดการต่อเองและขอบคุณที่พา Jon มาส่งด้วยน้ำเสียงดุดัน ซึ่ง Lois ไม่ชอบเท่าไรที่เขาทำกิริยาแบบนั้นกับเพื่อนบ้าน

Clark : ผมลองตรวจสอบร่างกายแล้ว เขาได้รับการกระทบกระเทือนนิดหน่อย แต่ทุกๆอย่างปกติดี

Lois : ฉันไม่เข้าใจ ลูกมีพลังพวกนั้นแล้ว แต่ทำไมเขายังได้แผลที่หัวเข่า หรือบาดเจ็บที่หัวได้อีก

Clark : ทางเดียวที่จะรู้ได้ เราต้องไปที่ป้อมปราการแห่งความสันโดษ


แต่ก่อนที่พวกเขาจะไป วัตถุทรงที่เก็บเลือดของ Jon ก็ไปถึงก่อนแล้ว (เข้าไปได้เพราะมีรหัสพันธุ์กรรมของชาวคริปตัน) เมื่อไปถึงมันก็ดูดกลืนสิ่งที่มีรหัสพันธุกรรมของชาวคริปตันอื่นๆในนั้น และได้เปลี่ยนแปลงร่างของตัวเองเป็น Superman ที่สวมแว่นตาอยู่

??? : พวกเรามาอยู่ที่นี่แล้ว

??? : พวกเราจะช่วยเจ้าเช่นกัน คาลเอล


Review

หลังจากที่เซ็ตอัพในเล่มแรกเล่มนี้ก็เริ่มมีการเดินเรื่องมากขึ้นแล้ว โดยรวมผมให้เล่มนี้ค่อนข้างเป็นเล่มที่อบอุ่นหัวใจมาก ทั้งบทสนทนาของ Superman กับ Jon หรือภาพครอบครัวของพวกเขา มันได้อารมณ์ Batman and Robin ช่วง New 52 จริงๆ สมเป็นทีมงานเดียวกัน

ในเล่มนี้เราจะค่อยๆเห็นการสอนลูกของ Superman จากสิ่งที่เขาผ่านมามากมาย ทั้งเรื่องการใช้พลัง และแนวคิดของการใช้พลังที่มีอยู่ ความหนักอึ้งของสัญลักษณ์ที่เขาแบกรับ ซึ่งเป็นจุดที่ผมชอบเพราะเราได้เห็น Superman ในอีกมุมหนึ่งที่เป็นพ่อคน ที่เราไม่ค่อยได้เห็นบ่อยนัก อีกจุดคือการใส่ตัวละคร Kathy เข้ามาทำให้ Jon ได้มีการแสดงในมุมอื่นนอกจากอยู่กับครอบครัวของเขาอย่างเดียว แต่ก็น่าสนใจตรงที่ว่า Kathy จะเป็นตัวละครหลักสำหรับ Jon แบบ Lana Lang ของ Clark หรือเป็นแค่ตัวประกอบในบทแรกเท่านั้น

ในด้านของตัวร้ายนั้น เรายังไม่รู้อะไรเลยว่ามาจากไหน และเกี่ยวข้องกับคริปตันยังไง แต่ที่แน่ๆเราได้ตัวตนเหมือน Superman เพิ่มขึ้นมาอีกคนแล้ว...

ในส่วนของงานภาพนั้น เล่มนี้ผมชอบจริงๆ คิดว่างานของ Patrick Gleason เหมาะกับแนวเรื่องแบบนี้จริงๆ ช็อตเด็ดสำหรับผมคือฉากที่ Jon ถอดเสื้อกันหน้าวที่มันดูเท่มาก กับฉากฝังศพ Goldie ที่ให้บรรยากาศความอบอุ่นของครอบครัวและความเศร้าของ Jon ได้ดี


โดยรวมเล่มนี้ยังเป็นเนื้อเรื่องที่น่าติดตามของ Superman โดยเฉพาะตัวของ Jon ว่าการเป็นลูกครึ่งของเขาอาจจะมีอะไรมากกว่าที่พวกเราคิด

Score 8.5/10

*เรื่องตัวร้ายนี่ผมคุ้นๆลองไปหาดูแล้ว ชัดเลย Eradicator เป็นหนึ่งใน Superman ตัวปลอมที่ปรากฎตัวขึ้นมาในสมัยก่อนช่วงที่ Superman ตายไป ซึ่งจริงๆใน New 52 เคยปรากฎตัวออกมาแล้ว แต่หนนี้เป็นการกลับมาในรูปร่างเดิมแบบเดียวกับสมัยก่อนเลย

2 comments:

  1. ถ้าไม่ใส่แว่นก็ไม่ใช่ Eradicator สินะ :-D

    ReplyDelete
  2. I see the greatest contents on your blog and I extremely love reading them.
    easypaydayloancom

    ReplyDelete