Tuesday, July 9, 2013

Pacific Rim : Tales from Year Zero - Part 2 : Turn of The Tide

Pacific Rim : Tales from Year Zero - Part 2 : Turn of The Tide

Present By : Guillermo Del Toro | Writer : Travis Beacham

สำนักพิมพ์ : Legendary comic


พบกับจุดเริ่มต้นของ Yaeger Program ใครคือผู้คิดค้นมัน และพวกเขาต้องพบเจอกับอะไรก่อนที่อสูรเหล็กเหล่านี้จะได้ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อปกป้องโลกจากเหล่า Kaiju

Big Sur, CA… 15 พฤศจิกายน 2024

Naomi มาที่นี่เพื่อสัมภาษณ์ Jasper Schoenfeld บิดาผู้ให้กำเนิด Jaeger Program ซึ่งเขาไม่ค่อยจะให้สัมภาษณ์บ่อยนัก แต่เขาถูกใจอีเมลล์ที่เธอส่งมา จึงให้เธอเป็นกรณีพิเศษ และเธอก็ถามถึงเวลาข่วงเวลาที่เขาค้นพบความคิดที่จะประดิษฐ์หุ่นยักษ์


“มันคือช่วงที่ไคจูตัวที่ 4 scissure ปรากฏตัวออกมา และเข้าโจมตี ซิดนีย์ และหลังจากนั้น 3 วัน ถึงจะสามารถล่อมันออกไปยังสถานที่ที่ไม่มีผู้คนเพื่อถล่มมันด้วยนิวเคลียร์ได้ โดยไม่ให้รังสีของมันกระทบต่อตัวเมือง”

“กองกำลังทหารของเรานั้นถูกสร้างขึ้นมาเพื่อรบกับกองกำลังทหารของประเทศอื่นๆ ไม่ใช่กับเจ้าพวกไคจูพวกนี้ พวกมันคือสัตว์ประหลาดยักษ์ที่มาพร้อมกับสัญชาติดิบเพื่อเอาตัวรอดโดยเฉพาะ และสิ่งที่เรากลัวก็คือ มันจะยังปรากฏตัวออกมาเรื่อยๆ”

“พวกเราต้องหาหนทางที่จะต่อสู้กับพวกมันโดยที่ไม่ต้องทำลายเมืองที่โดนโจมตีทิ้งไปด้วย เป็นพลังรูปแบบใหม่... ที่จะต้องทรงพลังเฉกเช่น นิวเคลียร์ แต่ต้องควบคุมระยะและดัดแปลงการใช้งานได้”

Jasper : และผมก็ได้ยินข่าวว่าผู้เชี่ยวชาญมือดีหลายคนต่างไปรวมตัวที่กรุงโซลเพื่อระดมสมองคิดค้นมัน แต่เมื่อผมสังเกตเห็นลูกชายของผมกำลังเล่นของเล่นของเขาอยู่

Jasper : นั่นทำให้ผมได้รับรู้ว่า พวกเรารู้คำตอบอยู่แล้ว...

และสิ่งที่ลูกของเขาเล่นมันก็คือ หุ่นยักษ์ที่กำลังสู้กับสัตว์ประหลาด


Naomi : และนั่นคือแนวคิดที่จะเปลี่ยนแปลงทุกๆอย่าง

Jasper : มันก็แค่เรื่องธรรมดาน่ะ

Naomi : แน่ใจเหรอค่ะ?

Jasper : มันก็แค่เป็นความคิดที่ถูกกำหนดไว้ให้มีคนค้นพบมัน และความจริงก็คือ ผมไม่เคยที่จะค้นพบสิ่งสุดท้ายที่จะทำให้มันสมบูรณ์แบบเลย นั่นเพราะผมไม่ใช่คนแบบนั้น

Naomi : ทำไมล่ะค่ะ? แล้วมันคืออะไร?

Jasper : ความรักยังไงล่ะ…


การประชุมที่กรุงโซล 15 กันยายน 2014

“ผมไปถึงที่นั่นทันช่วงสุดท้ายของวันแรกพอดี และทันที่จะได้พบกับ Pentecost และตอนนี้นั้นเขายังเป็นแค่ที่ปรึกษาเท่านั้น แถมยังไม่มี P.P.D.C. อีกด้วย”

Pentecost : ที่พวกเรามาอยู่ที่นี่ในวันนี้ เพื่อจุดประสงค์เดียวเท่านั้น...

Pentecost : ว่าจะมีอะไรที่สามารถยัดปากเจ้าสัตว์ประหลาดพวกนั้นแล้วส่งมันกลับนรกได้บ้าง

และ Jasper ก็ที่มาถึงก็ยกมือขึ้นมา

Jasper : ผมอาจจะตอบคำถามนั้นได้ครับ

“แล้วจากนั้นผมก็อธิบายความคิดของผมออกไป...ความคิดที่โคตรจะบ้าเป็นที่สุดของผม”

Jasper : ...และมันก็ไม่ใช่หุ่นยนต์ธรรมดาๆ แต่มันคือหุ่นยนต์ที่สั่งการโดยมันสมองของสิ่งมีชีวิตที่มีรูปแบบความคิด ใช่แล้วมันคือเครื่องจักรที่จะถูกควบคุมโดยมนุษย์


“จริงๆแล้ว มันก็ไม่ใช่การนำที่เสนอที่ยอดเยี่ยมอะไรของผมหรอก ผมแทบจะโยนมันเข้าด้วยกันด้วยความเร่งรีบซะมากกว่า และมันทำให้ผมงงไปเลยตอนที่ผมรู้ตัวว่าได้เงินทุน ซึ่งผมยังแทบไม่รู้วิธีที่จะทำให้มันขับเคลื่อนได้เลยแม้แต่น้อย”

“...แต่ผมก็รู้จักคนที่อาจจะทำให้มันเกิดขึ้นได้”

และ Jasper ก็ไปหา Catlin Lightcap แฟนเก่าของเขา เพื่อให้ช่วยเหลือเรื่องนี้ ซึ่งเขาคิดว่าเธอจะช่วยเขาสร้างมันได้สำเร็จ


และเธอก็พยายามปฏิเสธเขาในทุกทาง จน Jasper ต้องพยายามตื้อให้ถึงที่สุด

Jasper : นี่ไม่ใช่การเห็นใจหรืออะไรแบบนั้นนะ แคทเทอร์ลีน ที่ฉันมาที่นี่เพราะเธอคือหนึ่งในคนชั้นหัวกะทิที่ยอดเยี่ยมที่สุดทางด้าน ระบบจัดการ-จักรกล-ด้วยคลื่นสมอง

Jasper : โลกต้องการเธอ...ฉันต้องการเธอ ไม่งั้นฉันคงไม่มาที่นี่ตั้งแต่แรกแล้ว


Pacific Rim 

Tales From Year Zero Part 2 : Turn of The Tide 

บรรยายไทย โดย Bank-Genesis

Jeager Program, 14 พฤศจิกายน 2014

ด้วยการช่วยเหลือทางด้านเงินทุน ในที่สุดพวกเขาก็เริ่มเดินหน้าโปรแกรมได้แล้ว และจนถึงตอนนี้มันเพิ่งจะได้แค่ แขนข้างเดียว

Pentecost : แค่แขน? ส่วนอื่นๆไปอยู่ที่ไหน?

Jasper : คุณก็น่าจะเห็นค่าใช้จ่ายที่ผมต้องการแล้วนี่

Pentecost : แล้วนายก็น่าจะจัดการพวกระบบสั่งการด้วยถูกมั้ย?

Jasper : ก็นะ พวกเราดูท่าจะมีอะไรนิดหน่อยน่ะ

??? : พวกเราเรียกว่ามันว่า “เดอะ พอนด์” ค่ะ


Pentecost : นั่นใครกัน

Jasper : อ้อ ด็อกเตอร์ แคทลิน ไลท์แคปน่ะ ครับ แคทลิน นี่ สแต๊คเกอร์ เพ็นเทคอส

Pentecost : คุณคือ ผู้ประสานงานพิเศษ ผมมาที่นี่เพื่อตรวจสอบและประเมินความคืบหน้าของพวกคุณ แล้วเมื่อกี๊คุณว่าไงนะ “พอนด์” เหรอ?

Catlin : มันเป็นภาษาละติน ที่แปลว่า “สะพานเชื่อม” ค่ะ

Pentecost : ผมรู้น่าว่ามันหมายความว่ายังไงในภาษาโรมัน แต่ที่ผมอยากรู้คือความหมายในที่นี้

Catlin : มันคือระบบโครงข่ายประสาทที่จะเชื่อมต่อระหว่างสมองของสิ่งมีชีวิตกับการทำงานของหุ่นยนต์ค่ะ

Pentecost : งั้นหมายความว่าคุณสามารถที่จะสั่งการมันได้ แค่เพียงคุณคิดอย่างงั้นเหรอ

Catlin : ตามทฤษฎีแล้วใช่ค่ะ แต่เรายังไม่ได้ทำการทดลองการทำงานจริงค่ะ

Pentecost : ทำไมล่ะ?

Jasper : เงินทุนไงล่ะครับ พวกเราได้ทำการร้องขอผู้ทดลองไปแล้ว ตอนนี้จึงต้องรอคำตอบกลับมาน่ะครับ


Pentecost : P.P.D.C. เพิ่งจะถูกก่อตั้งได้ไม่นาน นั่นจะทำให้นายต้องรอไปอีกนานแน่ๆ งั้นก็ใช้ฉันนี่แหละ แล้วมาดูกันว่าทฤษฎีนั่นมันใช้การได้จริงมั้ย

Jasper : นี่คุณเอาจริงเหรอ

Pentecost : แล้วนายคิดว่าฉันล้อเล่นหรือไง

Catlin : แต่ฉันไม่เห็นด้วยกับเรื่อง

Pentecost : ทำไม มันจะฆ่าผมหรือไง

Jasper : เปล่าครับ ไม่ใช่แบบนั้น

Catlin : พวกเรายังไม่แน่ใจ

Pentecost : ฉันเชื่อใจพวกนายนะ และฉันก็หวังจริงๆว่าสิ่งนี้จะสามารถช่วยเหลือผู้คนได้ แต่ถ้าพวกนายต้องการเงินทุนเพิ่ม ก็ต้องให้ฉันมีอะไรที่จะกลับไปตอบพวกเขาได้


แล้ว Pentecost ก็ทำการทดลองอย่างที่เขาต้องการ

Jasper : โอเค คุณพร้อมนะ

Pentecost : นี่มันเหมือนแขนฉันโดนโบกปูนเลยนะ

Catlin : การส่งข้อมูลยังมีปัญหาอยู่นิดหน่อย ทำให้ตัวระบบการทำงานไม่สามารถปรับเทียบกับคลื่นสมองของคุณได้ ดังนั้นทำแค่ขยับนิ้วก็พอนะคะ


แล้ว Pentecost ก็พยายามขยับมันสุดแรงและความคิด จนในที่สุดก็สำเร็จ นิ้วของแขนข้างนั้นขยับตามนิ้วของเขา

Pentecost : มันใช้งานได้!


สถานที่ของ P.P.D.C. ที่ Kodiak Island 1 ธันวาคม 2014

“หลังจากที่ Pentecost รายงานไปยัง “เบื้องบน” ของ P.P.D.C. พวกเราก็ได้รับการย้ายมายังโรงงานที่ดีกว่าเดิม”

“และในไม่ช้า ทั้งผมและแคทลืนก็กลับสู่อารมณ์และความรู้สึกเก่าๆของพวกเรา”

และ Jasper ก็สารภาพกับ Catlin ว่าเขายังคงรักเธออยู่ แม้เขาจะมีลูกและภรรยาแล้ว แต่เขารักเธอตลอดมา และทั้งคู่ก็...


และงานของเขาก็เริ่มเดินหน้าขึ้นเรื่อยๆ

“ผมเรียกมันว่า “เยเกอร์” ที่หมายถึง นักล่า, ผู้ล่าสังหารหมาป่า หรือ ผู้ที่สังหารมังกรในเทพนิยาย”

“และในเวลาหลายสัปดาห์ต่อมา ผมมองเห็นมันเริ่มที่จะเป็นรูปเป็นร่าง และเชื่อมั่นมากขึ้นเรื่อยๆ ว่ามันจะสร้างความแตกต่างให้กับพวกเรา”

“ทั่วทั้งโลกตกอยู่ในความหวาดกลัว แต่พวกเราคือผู้โชคดีกลุ่มแรกที่ได้มองเห็นแสงสว่างที่พวกเขาเฝ้าอธิษฐานถึง”

“พวกเราสร้างความหวังให้แก่โลกใบนี้ ซึ่งแม้แต่โลกยังไม่เคยคิดถึงมัน”


“และในขณะที่ผมทำการจัดการเรื่องของ เยเกอร์ แคทลีนก็จัดการทางเรื่องของคนขับ ที่ถูกส่งมาให้พวกเราทำการทดสอบ และนั่นคือช่วงเวลาที่เธอได้พบกับเขา..”

Catlin ได้ทำการตรวจสอบระบบสมองของ ร้อยโท D’ Onofrio ซึ่งเธอได้พบบางอย่างแปลกในสมองของเขา และบอกให้เขารู้ แต่เมื่อเธอสังเกตเห็นว่ามันคืออะไร เธอก็บอกให้เขาลืมมันไปซะ แต่เขาเริ่มจะกังวลจึงถามว่ามันคืออะไร Catlin จึงตอบง่ายๆว่า ...มันคือความหลงใหล มันคือ ความรัก...


และนั่นทำให้เขาเซ็งเลยทีเดียวที่คนอื่นรู้ความคิดเขาแบบนั้น ซึ่ง Catlin ก็บอกว่าคงจะไม่ใช่หรอก แต่ D’ Onofrio ก็บอกว่าที่นี่มีแค่เธอคนเดียวเท่านั้น เธอจึงต้องบอกว่าตอนนี้เธอมีคนที่คบด้วยอยู่แล้ว เขาจึงบอกว่ามันไม่มีอะไรก็แค่เขานั่งอยู่ตรงนี้แล้วมอง Catlin มันก็แค่นั้น จากนั้นเขาก็บอกให้เอาตัวเขาขึ้น Jaeger ในอาทิตย์หน้า เพื่อทดสอบมัน และนั่นก็เป็นเป้าหมายที่เขามาอยู่ที่นี่ด้วย


ทดสอบ Prototype ครั้งแรก 30 มกราคม 2015

(สร้างไวไปไหน 2 เดือนนี่สร้างได้ทั้งตัวเลยเหรอ)

Jaeger ตัวแรกถูกนำมาทดสอบ แต่ตัวนักบินกลับดูท่าจะเกิดปัญหาขึ้น เพราะกัปตัน Adam Casey นักบินทดสอบคนแรกไม่สามารถคุมมันได้ และมันยังทำให้เยื่อหุ้มสมองของเขากำลังขยายตัวขึ้นเรื่อยๆอีกด้วย และ Catlin ก็ไม่สามารถที่จะตัดการเชื่อมต่อได้อีก


และมันก็ล้มลงไป การทดสอบครั้งแรกจบลงด้วยความล้มเหลว


และนั่นทำให้ผู้ทดสอบคนแรกเสียชีวิต แต่พวกเขาก็ไม่รู้ว่ามันเป็นเพราะหุ่นขนาดยักษ์ที่ล้มลงมาสร้างแรงสะเทือนกับเขา หรือเป็นเพราะระบบ Pons กันแน่ พวกเขาจึงต้องเลื่อนการทดสอบออกไปกว่าอาทิตย์ และ Catlin ก็เริ่มจะคิดมากเกี่ยวกับเรื่องนี้ เพราะเธอคือคนที่คิดค้นมันขึ้นมา และไม่รู้ว่าหากทดสอบอีกครั้งจะเกิดอะไรขึ้น Catlin จึงบอก Jasper เลื่อนการทดสอบไปก่อน


แต่ Jasper ก็บอกว่า มันคือความเสี่ยงที่นักบินต้องพร้อมตั้งแต่ที่เลือกจะเข้าทำการทดสอบแล้ว แต่ Catlin ไม่คิดแบบนั้น และคิดว่าพวกเขารวมถึง Serigo ไม่ควรจะต้องตายด้วยอุบัติเหตุจากการทดลองไปเรื่อยๆ ซึ่งเมื่อเธอพูดชื่อเขาออกมาก็ทำให้ Jasper รู้ว่าพวกเขาเริ่มที่จะสนิทกันมากเกินไปแล้ว Catlin จึงเสริมว่าถ้า ผู้ที่มาประเมินการทดสอบเห็น ร้อยโท D’ Onofrio ตายไปอีกคนอาจจะทำให้ โปรแกรมนี้ถูกยกเลิกได้ แต่ Jasper ก็ไม่ยอมและบอกว่าถ้าพวกเขาไม่มีอะไรจะแสดงให้เห็นโปรแกรมก็จะถูกยกเลิกเหมือนกัน


และการทดสอบก็เริ่มอีกครั้งในวันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2015…
โดยมีนายพลผู้สังเกตการณ์มาด้วย และผู้ทดสอบคือ ร้อยโท D’ Onofrio นั่นเอง และเขาก็คิดว่ามันอาจจะยากไปหน่อย แต่เขาก็สามารถทำให้มันก้าวเดินได้สำเร็จ

Jasper : อย่างน้อยๆ เขาก็สามารถทำให้มันเดินได้ในที่สุด และนั่นก็ดีกว่าที่เราทำได้ในช่วงการทดสอบครั้งแรก เอาล่ะบอกให้เขาลองใช้ปืนดู แล้วเปิดระบบล็อค...


แต่แล้วก็เกิดปัญหาขึ้น สัญญาณเตือนภัยดังขึ้นมา

Jasper : มันเกิดอะไรขึ้น?

Catlin : เขากำลังอยู่ในภาวะเสี่ยง ร้อยโทค่ะ ตอบฉันด้วย คุณเป็นอะไรมั้ย?

Catlin : เซอร์ริโก้ ตอบฉันมา?

Catlin : ระบบประสาทของเขาปั่นป่วนไปหมด! และมันกำลังขยายตัวใหญ่ขึ้น!

และนั่นทำให้ Catlin ตัดสินใจจะทำบางสิ่งทันที

Catlin : จัดการเส้นทางการส่งข้อมูลที่หนักๆให้หมด! ฉันต้องการให้เปิดช่องสัญญาณสำหรับส่งข้อมูลไปยังตัวพอนส์


Jasper : นี่คุณจะทำอะไรเนี่ย?

Catlin : ฉันบอกคุณแล้วไง ว่าการส่งข้อมูลของระบบประสาทมันสูงเกินไป ฉันจะทำการเชื่อมต่อเข้าไป

Jasper : เชื่อมต่อเข้าไปหาเขาเนี่ยนะ? มันจะได้ผลเหรอ?

Catlin : พวกเราจะต้องหาคำตอบกันไงล่ะ


และระบบประสาทของ Catlin กับ Serigo ก็เชื่อมต่อกัน

Catlin : เซริโก้?

Serigo : นั่นคุณเหรอ ด็อคเตอร์

Serigo : คุณมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง?

Catlin : ฉันเชื่อมต่อเข้ามา เพราะสมองของคุณกำลังขยายตัว

Serigo : ผมขอโทษ ตอนแรกผมก็คิดว่าผมจะใช้การมันได้

Catlin : มันโอเค เซอร์ริโก้ ฉันมาที่นี่เพื่อช่วยคุณ

Serigo : นี่มันหนักหนาเกินไปนะ ด็อกเตอร์

Catlin : ไม่มากเกินไปสำหรับพวกเราทั้งคู่หรอก


และ Jasper ก็ปลุก Catlin ให้ตื่นขึ้นพร้อมบอกว่าพวกเขาทำสำเร็จแล้ว Serigo สามารถใช้งานมันได้
และจากนั้นหลายเดือนต่อมา

“มันมากกว่าที่จะเรียกว่าประสบความสำเร็จ ทางองค์กรณ์สั่งให้ทำการผลิตเหล่า Jaeger ที่พร้อมลุยชุดแรกขึ้นมาทันที”

“และเธอก็รับรู้ ว่าการบังคับตัวหุ่นมันมากเกินไปสำหรับความนึกคิดของคนคนเดียว มันต้องการคนขับสองคน และมันก็เปลี่ยนทุกๆอย่าง”

“ไม่ใช่เพียงแค่ตัวโปรแกรมเท่านั้น แต่กับทุกๆคนด้วย”


.”ยิ่ง Catlin ทำการทดสอบระบบพอนส์คู่กับ ร้อยโท D’Onofrio มากขึ้นเท่าไร มันก็ยิ่งส่งผลกับเธอมากขึ้นเท่านั้น”

“เธอกลายเป็นคนที่กล้าแสดงออก...และมั่นใจมากขึ้น”

“เธอไม่ต้องกินยาอะไรอีกต่อไป มันเป็นอะไรที่โดดเด่นมาก”

“ด้วยวิธีการบางอย่าง การเชื่อมต่อนี้ได้ช่วยเหลือเธอ และฉันก็ได้เห็นสาวน้อยผู้เปล่งประกายคนเดิมที่ฉันจำได้ ลอกคราบออกมาจากเกราะป้องกันที่เธอสร้างขึ้นมาเองอีกครั้ง”


“และผมก็รับรู้ว่า ผมกำลังจะเสียเธอไป”

และจากนั้นทั้งคู่ก็เข้าสู่ระบบ Pons และนั่นทำให้เราเห็นว่าทั้งคู่เริ่มจะมีใจให้กันมากแค่ไหน


แต่เธอก็ยังห่วง Jasper อยู่ และบอกว่าโลกต้องการเขาและเขาต้องการ แต่ Serigo ก็บอกว่า ผิดแล้วเธอทำให้มันทำงานได้ เธอคือคนที่ทำให้ขับเคลื่อนไป โลกต้องการเธอต่างหาก และตัวเธอเองนั่นแหละ ที่ต้องคิดว่าเธอต้องการอะไร


แล้วจากนั้น Catlin กับ Jasper ก็ออกมานั่งอยู่ในบรรยากาศมาคุ จน Catlin เอ่ยปากออกมา

Catlin : มันมีอะไรบางอย่างเกิดขึ้นกับฉันน่ะ แจสเปอร์

Jasper : ถ้ามันใช้การได้ คุณก็ควรปล่อยให้มันเกิดขึ้น

Catlin : ฉันไม่ได้พูดถึง เยเกอร์ นะ

Jasper : ฉันก็ด้วยแหละ

Catlin : แต่ฉันก็ไม่อยากที่จะทำร้ายคุณนะ

Jasper : ฉันรู้ และนั่นแหละที่มันจะฆ่าฉัน และฉันก็คงจะไม่ทำแน่ๆ ถ้าฉันเป็นเธอ

“ในตอนนั้นผมคิดว่าส่วนที่ยากที่สุดได้ผ่านพ้นไปแล้ว Brawler Yukon (Yeager ตัวแรกที่พวกเขาทดสอบ) นั้นไม่เคยมีความคิดที่จะถูกนำออกไปใช้งานจริงเลย และ Catlin กับ Serigo ก็เป็นแค่นักบินทดสอบเท่านั้น แต่แล้วบทสอบที่แท้จริงนั้นก็กำลังจะมาถึง”


“เครือข่ายระบบการติดตามของในมหาสมุทรแปซิฟิก ได้ระบุว่า Kaiju Karloff ปรากฏตัวขึ้นแล้วมุ่งหน้าไปทาง Vancouver (เมืองหนึ่งในแคนาดา) ซึ่งการทดลองลงสนามจริงครั้งแรกของ Jaeger นั้นยังต้องใช้เวลาอีกหลายอาทิตย์”

“แต่ก็มีคำสั่งลงมาให้ทำการใช้เครื่องทดสอบออกลุยทันที”

Jasper : พวกเราจะพร้อมใน 5 นาที ครับ

และ Catlin ก็ขึ้นขับมันด้วย

Jasper : คุณทำแบบนี้ไม่ได้นะ บราว์เลอร์ ยูคอน มันเป็นแค่ตัวต้นแบบ ไม่ได้ถูกสร้างขึ้นเพื่ออะไรแบบนี้
Catlin : ผิดแล้ว นี่แหละคือสิ่งที่ทำให้มันถูกสร้างขึ้นมา

Catlin : อย่ากังวลในตัวฉันนักเลย เพราะนี่คือทุกๆอย่างที่พวกเราทำมาตลอด มันถึงเวลาที่เราจะแสดงให้โลกเห็น ในสิ่งที่พวกเรามีแล้ว…

“มันถึงเวลาที่จะให้ความหวังกับพวกเขาแล้ว”


Vancouver 23 เมษายน 2015

และ Kaiju ก็กำลังบุกเข้าไปยังเมือง ในขณะที่ Brawler Yukon ก็มาถึง

“พวกเราไม่รู้ว่าเจ้า Kaiju ตัวนั้นมันคิดอะไรอยู่ในหัว”

“แต่ผมคิดว่า มันคงจะประหลาดใจแน่นอน”

“มันมาที่นี่โดยหวังว่าจะพบกับเหล่าคนที่อ่อนแอ, ไร้ทางช่วยเหลือ, พวกลิงตัวจ้อย และในตอนนี้พวกมันก็พบแล้วว่า พวกเราได้สร้างอะไรบางอย่างที่ใหญ่พอๆกับมันขึ้นมา”

และในที่สุด Brawler Yukon ก็สามารถซัด Kaiju จนปลิว


“และเมื่อมันเลือดออก ฉันก็คิดว่ามันคงจะเริ่มที่จะเกิดความกลัวแล้ว”

“ผมอยากจะคิดว่ามันเป็นแค่สัตว์ป่าที่ดิบเถื่อน ที่มีสัญชาตญาณบอกให้มันหนี คืบคลานกลับไปยังหลุมที่มันมา”

“แต่ที่ฉันรู้และแน่ใจนั่นคือ”


“มันรู้สึกเจ็บปวด”

การโจมตีของพวกเขาเหมือนจะเกิดผล

“และครึ่งนึงที่ทำให้มัน... ต้องเจ็บปวดนั้น...บางทีมันอาจจะเป็นเพราะ... สาวน้อย...จากพิตส์เบิร์ก”

และ Catlin ที่กำลังขับก็ไล่อัด Kaiju อย่างสนุกมือ

“และข้อความก็สมบูรณ์แบบแล้ว... ว่าพวกเรานั้นยิ่งใหญ่กว่าที่พวกเราเห็น”


“และเมื่อหมอกควันจากหายไป ทั้งโลกก็ได้รับรู้ถึงสิ่งที่เกิดขึ้น”

และแล้ว Kaiju ก็ถูกกำราบได้เป็นครั้งแรก โดยที่ไม่ต้องใช้นิวเคลียร์ แต่ด้วยกำปั้นเหล็กของหุ่นยักษ์


และนั่นคือสิ่งที่เกิดขึ้น

Jasper : จริงๆแล้วในตอนแรกฉันก็ไม่ได้ตกหลุมรักเธอหรอก ฉันก็แค่หลับนอนกับเธอที่เป็นแค่นักเรียนที่เพิ่งจบการศึกษาเท่านั้นเอง แต่แล้วจากนั้นฉันก็มองเห็นเธอเป็นคนพิเศษ ฉันตกหลุมรักเธอในด้านที่เธอชื่นชอบชายที่ดีกว่า

Jasper : ฉันมันก็แค่คนโง่ ที่ฉุดรั้งเธอขึ้นมา... และเธอก็คือคนเพียงคนเดียวที่สามารถทำให้ความคิดของฉันกลายเป็นจริงได้

Jasper : ความรักนั่นแหละ คือสิ่งที่ทำให้พวกเราเลือกที่จะต่อสู้... นั่นแหละคือการวิวัฒนาการ และมันก็...ไม่ใช่ผม


--จบบท--

และเราก็ได้รู้แล้ว ว่าทำไม Jaeger ถึงต้องใช้คนขับ 2 คน ในการขับมัน เพราะ สมองของคน คนเดียวไม่สามารถผลักดันการทำงานของ Jaeger ได้ จำเป็นต้องใช้ 2 คนในการช่วยเหลือการควบคุมไปด้วยกัน แต่แน่นอนว่าต้องสอดคล้องกันด้วยในการทำงาน หากมีคนใดคนหนึ่งขัดแย้งกัน คาดว่าระบบคงจะปั่นป่วนแหงๆ

ก็ถือปั่นจบพอดีก่อนหนังเข้า ส่วนบทที่สามคงจะไม่ได้ทำนะครับ เพราะมันเป็นแค่บอกกล่าวถึ
ตัวละครเท่านั้น ซึ่งพวกเราก็น่าจะได้พบเจอในส่วนของภาคหนังโรง แต่ในส่วนนี้น่าจะไม่ได้กล่าวถึงมากนัก

แล้วมาพบกันใหม่กับสปอยเรื่องต่อไปนะครับ

8 comments:

  1. ขอบคุณครับ :)

    ReplyDelete
  2. ทำ part 3 ด้วยเถอะครับ ขอร้อง

    ReplyDelete
  3. ขอแก้นิดนึงครับ นักบินทดสอบคนแรกที่ตายขณะทดสอบชื่อ Capt. Adam Casey ครับ
    ส่วนที่เหลือ โอเคแล้ว
    ขอบคุณที่แบางปันมาให้อ่านครับ =]

    ReplyDelete
    Replies
    1. ขอบคุณมากครับ ลืมแก้ปเลย เดี๋ยวจัดการแก้เสียใหม่

      Delete
  4. ขอพาร์ท3ด้วยอีกคนครับ ^^

    ReplyDelete
  5. ทำพาร์ท 3 ด้วยเถอะครับ พรีสส =w="

    ReplyDelete
  6. โอเคเลย ไขข้อข้องใจ ที่เหลือก็แค่ไปดูหนัง

    แต่เราไม่ชอบเรื่องรักๆแบบนี้เลยให้ตายสิ 55555

    ขอบคุณมากครับ

    ReplyDelete
  7. ไปดูมาแล้วครับ ชอบเว่อร์ๆๆ

    ReplyDelete