Thursday, July 3, 2014

Comics News #13 : 4' June 2014 - 1' July 2014

1. Secret Origin #3
2. Preview Uncanny Avengers #21
3. Preview Justice League #31
4. Preview Earth-2 #25
5. Preview MILES MORALES: ULTIMATE SPIDER-MAN #3
6. Preview DEADPOOL VS. X-FORCE #1
7. Preview Magneto #6
8. Review Comics 2/7/2014

Review Comics 2/7/2014

ช่วงนี้ไม่มีข่าวอะไรสักเท่าไร เลยถือโอกาสลงรีวิวเล็กๆน้อยของคอมมิคแต่ละเล่มที่ได้อ่านไว้นะครับ

1. Earth-2 #25


ในเล่มนี้เรื่องราวจะต่อจากเล่มเดิม ที่จะบอกถึงแผนการของ Hawkgirl ที่สั่งให้ Alan Scott พา Parademons ฝูงใหญ่นั้นมากับพวกเธอด้วย และในเล่มเราจะได้เห็น Jay แสดงความสามารถเสียทีหลังจากที่หายไปนาน ในส่วนเนื้อเรื่องอื่นก็มีการดำเนินเรื่องที่รวดเร็ว และทำออกมาได้สนุกตามแนวทางของ Earth-2 ที่แทบจะนำเสนอเนื้อหาได้ Epic ในทุกเล่ม ในตอนท้ายก็ปิดเรื่องได้น่าตื่นเต้นชวนให้อยากอ่านเล่มต่อไปจริงๆ ซีรี่ส์นี้สมควรจะทำออกมาเป็นรายสัปดาห์มากที่สุดเพราะเนื้อเรื่องที่ตื่นเต้นและน่าติดตามตลอดนี่แหละ

แต่ข้อเสียก็เหมือนมี เป็นเรื่องเดิมๆ คือ Superman ที่ชั่วร้ายนั้นไม่ยอมจบเรื่องซักที ช่วงที่เขาโผล่มาเป็นช่วงที่ค่อนข้างน่าเบื่อที่สุด เนื่องจากอ่านช่วงบทนี้มานานจนทำให้เบื่อการที่เราเห็น Superman ออกมาเข่นฆ่าคนอื่นแล้ว ประมาณใส่เข้ามามากเกินไปเลยทำให้รู้สึกมันเกินพอดีไปเยอะ

โดยรวมผมให้ 4/5

2. Original Sin #5


เรื่องราวในเล่มนี้จะเป็นการอธิบายถึงสาเหตุที่ Fury มาอยู่ที่นี่ และเปิดเผยเงื่อนงำที่ว่าทำไมเขาถึงรู้ที่อยู่ของสถานที่ต่างๆที่สั่งให้พวก Black Panther ไป รวมไปถึงความลับทั้งหมดที่เขาปกปิดมาตลอดอีกด้วย ก่อนที่จะปิดท้ายด้วยอะไรบางอย่างที่ทำให้เราต้องมาตามต่อไปในเล่มหน้า

เนื้อหาในเล่มนี้ไม่มีอะไรมากกว่าได้อ่านความลับที่ Nick Fury เล่าออกมา ว่าเขาเก็บงำอะไรไว้บ้าง และเสียสละสิ่งต่างๆไปมากแค่ไหน เนื้อเรื่องจึงไม่ได้เดินหน้าไปไหนสักเท่าไร ในขณะที่จำนวนเล่มเหลือแค่ 3 เล่มเท่านั้น ที่จะเฉลยให้เรารู้ว่าตกลงใครกันแน่คือผู้ที่สังหาวอชเชอร์

โดยรวมผมให้ 4/5

3. Miles Morales : Ultimates Spider-Man #3


เรื่องราวในเล่มนี้ยังไม่ไปไหนจากที่แล้วสักเท่าไร นั่นคือ Miles ได้บอกความจริงกับ katie เรื่องตัวตนของเขา และข่าวการกลับมาของ Norman Osborn ที่กำลังจะถูกไล่ล่าโดย shield และตอนท้ายก็ค่อนข้างปิดเล่มได้น่าสนใจ แต่ก็เป็นแพทเทิร์นเดิมๆที่ไม่ค่อยจะให้ความรู้สึกว่าน่าตกใจสักเท่าไร

อย่างที่กล่าวไปแล้วว่าเนื้อหาในเล่มนี้ไม่ได้เดินไปไหนเท่าไร และไม่มีคำตอบสำหรับปริศนาในเล่มก่อนๆมากนัก มีแต่คำถามที่เพิ่มมากขึ้น จุดดีในเล่มนี้คือเราได้เห็น J. Jonah Jameson ทำตัวเป็นคนดีมีเหตุผล จุดแย่คือ เปิดมาได้ 3 เล่มก็ฆ่าตัวละครทิ้งไปอีกตัวเรียบร้อยแล้ว (เป็นใครก็รออ่านนะครับ)

โดยรวมผมให้ 3/5

4. Magneto #6


ผ่านมา 6 เล่ม ผมให้เล่มนี้สนุกที่สุด เราจะได้เห็น Magneto ออกล่าทีมที่ล่าล้างเหล่ามิวแทนส์อย่าง Marauder เราจะได้เห็น Magneto ที่นับวันจะโหดขึ้นทุกทีแม้พลังของเขาจะน้อยลงกว่าเดิม แต่ในแต่ละเล่ม Magneto จะค่อยหาหนทางประยุกต์การใช้พลังของเขาให้ดีขึ้น และน่าสนใจมากขึ้น และตอนท้ายของเล่มนี้ ก็เป็นการปิดฉากที่ดูน่าติดตาม ว่า Magneto กำลังวางแผนจะทำอะไรต่อไปในอนาคต

ถ้าใครตามมาตลอดเล่มนี้ผมก็อยากให้อ่านกัน คนที่ชอบ Magneto แนวๆโหดนี่คงจะสะใจไม่น้อย ซึ่งในเล่มเราจะได้เห็นแนวคิดเรื่องการแยกแยะคำว่า "มิวแทนส์" ของเขาอีกด้วย (เนื่องจากศัตรูในเล่มนี้เป็นมิวแทนส์ด้วยกันเองนี่แหละ) แต่จะว่ามีข้อเสียก็ตรง การต่อสู้ไม่สนุกเท่าไร เหมือนมาดู Magneto ยำศัตรูเล่นเหมือนเล่มอื่นๆเสียมากกว่า

เล่มนี้ผมให้ 4/5

อันนี้ก็เป็นรีวิวจากที่ผมอ่านมา อาจจะมีใส่ความรู้สึกส่วนตัวลงไปบ้าง แต่ผมก็พยายามที่จะจับเฉพาะซีรี่ส์ที่อ่านจริงๆมารีวิว มันจะได้ไม่เขวมาก ตัวสปอยแต่ละเล่มน่าจะลงได้อย่างเร็วก็ซักอาทิตย์หน้า เพราะช่วงนี้คงทยอยลงของอาทิตย์ที่แล้วที่ค้างๆอยู่ก่อน


Magneto #6


Scalphunter หนึ่งในสมาชิก Marauder กลายเป็นผู้ป่วยอยู่ในการดูแลของหน่วยชิลด์ ซึ่งพวกเธอขอให้เขาให้ความร่วมมือด้วย เรื่องนี้จะได้จบลงโดยเร็ว แต่ Scalphunter ก็บอกว่าพวกเธอน่าจะปล่อยให้เขาตายไป เขาไม่ต้องการความเห็นใจใดๆ


ที่เขาต้องการคือแขนกับขาของเขาคืนมา ซึ่งที่จริงเขามีพลังการฟื้นตัวที่รวดเร็ว แต่ Magneto ก็รู้เรื่องนั้นดี เขาเลยใช้ไฟเผาปิดปากแผลไม่ให้มันฟื้นตัวได้อีก และตัว Scalphunter รู้ว่าที่เขาทำแบบนี้ นั่นเพราะเขาต้องการให้ตนรู้ถึงความทรมานและชดใช้ในสิ่งที่เขาทำลงไป


ก่อนหน้านี้ (หรือปัจจุบันก็ไม่รู้) สมาชิก marauder 2 คนพยายามวิ่งหนีใครบางคน หนึ่งในนั้น Prism โดนเหล็กพุ่งเข้าใส่ที่อก


และนั่นทำให้อีกคนรู้ว่า "เขา" อยู่ใกล้ๆนี่ ทาง Prism ก็คิดว่าเหล็กชิ้นแค่นี้ทำอะไรเขาไม่ได้หรอก เลยดึงออกมา แต่บางส่วนยังติดอยู่ในร่างของเขา จนจู่เขาก็รู้สึกว่าเศษเหล็กพวกนั้นเริ่มกระจายตัวออก จนร่างของเขาค่อยๆปริแตก


จนแตกสลายเป็นชิ้นๆในที่สุด และอย่างที่เรารู้คนที่ทำได้แบบนี้มีอยู่คนเดียว Magneto เขาค่อยๆเดินมาใกล้ๆ Scarmbler ที่มีพลังในการรบกวนพลังพิเศษของคนอื่นๆ ซึ่งพยายามขู่ว่าถ้าเขามาจะแตะตัวและทำให้สมองของเขาหยุดทำงาน แต่ Magneto ก็ไม่กลัวอะไรและบอกว่าเขาไม่จำเป็นต้องเข้าไปใกล้ให้เขาแตะตัวแม้แต่น้อย พร้อมลอยตัวขึ้น


ซีรี่ส์นี้น่าจะยกระดับความโหดเข้าขั้น 18+ ได้แล้วนะเนี่ย มีเลือดสาด หัวหลุด ตัวแตก มันโผล่มาทุกเล่มแบบนี้


DEADPOOL VS. X-FORCE #1


ย้อนกลับไปยังช่วงตุลาคมปี 1777 ในช่วงการปฏิวัติของอเมริกา

กองกำลังกบฎของอเมริกาได้บุกไล่ตีกองกำลังอังกฤษจนล่นถอย แต่แล้วชายคนหนึ่งกลับปรากฎตัวออกมา


Deadpool : มันก็คือการปรากฎตัวของทหารรับจ้างที่ดูน่ากลัวและโคตรเท่ สวมชุดเหมือนกลุ่มกบฎแต่มีการสวมหน้ากากไว้อีกที แถมยังถือปืนรูปร่างแปลกประหลาดไว้อีกด้วย!

Deadpool : ว๊ากกกกกกกกกกกกกกกก

Deadpool : ใครกันที่มันโง่จนกล้าบุกเดี่ยวเข้ามาหากองกำลังติดอาวุธซึ่งเรียงกันอยู่เป็นตับแบบนี้

Deadpool : เหล่าทหารหาญชั้นยอดได้ระดมยิงปืนเข้าใส่ศัตรูหน้าโง่ที่ทะลึ่งวิ่งเข้าหาพวกเขา


Deadpool : แต่แล้วอยู่ๆทหารกลุ่มกบฎผู้แปลดประหลาดผู้นั้นกลับสามารถหลบกระสุนได้ทั้งหมด

Deadpool : รวมไปถึงปืนใหญ่อีกด้วย... โอ้ว ท่าทางกบฎคนนี้จะเก่งคอดๆ...

Deadpool : โทษที ฉันรู้ว่าสำหรับฉันมันง่ายเกินไปหน่อย


Deadpool : และด้วยความแม่นยำระดับสูง ทหารกบฎคนนี้ได้ไล่ยิงเหล่าทหารองครักษ์ของอังกฤษจนตายสิ้น!

Deadpool : บอกตามตรงว่าเกลียดการยิงใส่คนสวมชุดสีแดงเป็นบ้า เพราะมันไม่รู้ว่ายิงโดนใครไปแล้วบ้าง ใครที่ยังไม่โดนยิงบ้าง

Deadpool : นี่พวกแก ไอ้พวกคนที่ตายไปแล้วน่ะ ทำตาเป็นเครื่อง 'X' หน่อยได้มั้ย

Deadpool : และในที่สุด ทหารรบจ้างผู้น่าสะพรึงกลัว และปรากเปราะก็....


งานนี้ดูยังไง... Deadpool ก็มาจากอนาคตชัดๆ ทั้งปืน และความสามารถ ...อีกทั้งยังพากษ์เองอีกต่างหาก


MILES MORALES: ULTIMATE SPIDER-MAN #3


Queen, New York

Katie : ไมล์ มันคืออะไรเหรอ?

Miles : เคที่... ฉันต้องการบอกเธอว่า... ฉันคือ

Ganke : ไม่นะเพื่อน อย่านะพูดเชียวนะ!!

Katie : มันเกิดอะไรขึ้น?

Ganke : อย่าพูดนะ

Miles : ฉันคือ สไปเดอร์แมน


หลังพูดจบ สิ่งที่เขาได้ก็คือ ใบหน้าที่ดูจะไม่เชื่อของ Katie แต่ Miles ก็ย้ำให้เห็นว่ามันคือเรื่องจริง

Miles : นั่น...คือสาเหตุที่ว่าทำไมฉันถึงไม่อยู่ในที่ที่ฉันควรจะอยู่ และที่ว่าทำไมฉันถึงได้ดูเหนื่อยๆ และ...

เมื่อ Katie เริ่มคิดที่เขาพูด เธอก็เริ่มรู้สึกว่าเขาจริงจัง ส่วน Ganke ก็เครียดที่เพื่อนตัวเองบอกไปตรงๆแบบนั้น และเมื่อ Katie เห็นปฏิริยาของ Ganke แล้ว...

Miles : เอ่อ เธอมีอะไรจะพูด...

สิ่งที่ Katie ทำ ก็คือวิ่งหนีออกไปจากตรงนั้น...


Ganke : ไอ้บ้าเอ๊ย

Miles : ไหงเวลาฉันบอกพวกเขา พวกเขาถึงต้องวิ่งหนีด้วยเนี่ย?

Ganke : แล้วไหงนายถึงชอบบอกคนอื่นไปทั่วแบบนี้เล่า?

Miles : เพราะฉันอยากเป็นคนที่ซื่อสัตย์ ไม่ "โกหกหลอกลวงแฟนของตัวเอง" ไงล่ะ

Ganke : เยี่ยม ตอนนี้นายเลยกลายเป็น "คนที่ไม่มีทางมีแฟนอีกแล้ว"

Miles : ฉันต้องไปคุยกับเธอ

Ganke : แถมยังเป็น "คนที่ไม่เคยเรียนรู้อะไรเลย" อีกด้วย

Miles : ฉันทำพลาดไปหน่อย

Ganke : เอ่อ... ใช่มั้ง

Miles : อย่าทำให้ฉันรู้สึกแย่ไปกว่านี้จะได้มั้ย?

Ganke : นี่ฉันนั่งอยู่ตรงนี้เลยนะ ไอ้ที่นายทำน่ะ มันเป็นความผิดพลาดชัดๆ

Ganke : ฟังนะเพื่อน ฉันรักแกนะ... เพราะฉันเป็นเพื่อนของแก ฉันจะบอกให้ตอนที่แกออกอาการเกรียนแตก หรือตอนที่แกทำพลาด และอันนี้แกทำพลาดเข้าอย่างจังเลยว่ะ

Miles : เปิดโทรศัพท์ไว้นะ ฉันจะตามเธอไป

แต่แล้วใครอีกคนกลับมาเรียกเขาไว้

??? : ไมล์ ขึ้นรถ


และเธอก็คือ Maria Hill นั่นเอง (ในจักรวาลนี้เธอไม่ใช่สมาชิก Shield แต่เป็นตำรวจ ซึ่งเธอปรากฎตัวในช่วง Venom War)

Maria : ขึ้นรถ ทำตามที๋ฉันบอก

Miles : คุณคือนักสืบคนนั้น นี่ผมกำลังมีปัญหาหรือเปล่าเนี่ย

Maria : แน่นอน เธอกำลังมีปัญหาตั้งแต่วันที่แมงมุมตังนั้นกัดเธอเข้าให้แล้ว เอาล่ะขึ้นรถ

Ganke : อย่าขึ้นนะ หนีไปเร็ว

Maria : ขึ้นรถ

Ganke : ใส่เกียร์แมงมุมเลย

และ Miles ก็เลือกที่จะเชื่อเพื่อนของเขา ด้วยการวิ่งออกไปในทันที


เห็นพรีวิวแปลเต็มๆ ตอนลงสปอยก็อาจจะสรุปๆเหมือนเดิมนะครับ (หลังติดใจแบบสรุปจริงๆ)


Earth-2 #25


Amazonia

Khan : ทำไมพวกเขาถึงไม่ประสานงานโดยตรงกับเรา?

Batman : เพราะกองกำลังพิสูจน์ให้เห็นในอดีต ว่าพวกเขาไม่ควรจะเชื่อใจไงล่ะ ท่านผู้บัญชาการ ข่าน

Batman : และผมก็ไม่รู้ ว่าพวกเขาวางแผนไว้แบบนี้ จนกระทั่ง ฮอร์คเกิร์ล ติดต่อเข้ามา และถ้าถามผมตามตรง ผมไม่คิดว่านี่เป็นแผนอีกด้วย เอาล่ะ ฮอร์คเกิร์ล...

Batman : บอกสถานการณ์ปัจจุบันให้พวกเรารับรู้หน่อยได้มั้ย?


Hawkgirl : พวกเรากำลังมุ่งหน้าผ่านตอนเหนือของมหาสมุทรแปซิฟิกส์

Hawkgirl : กรีนแลนเทิร์นกำลังต้านทานการโจมตีอยู่ เพราะพวกเรามีกองกำลังพาราเดม่อนหลายพันตัวไล่ตามมาด้วย...

และที่ด้านหลัง Beguiler ก็มาด้วย

Hawkgirl : แถมมาด้วยกับเทพที่ดูกำลังจะโมโหอีกหนึ่งตัว และฉันไม่แน่ใจว่า กรีนแลนเทิร์น จะต้านไว้ได้อีกนานแค่ไหน


ทางด้าน Val กับ Olsen

Val : จากสิ่งที่เกิดขึ้นตอนนี้ นายน่าจะรู้ว่าทำไมฉันถึงต้องซ่อนมันไว้

Olsen : ไม่อ่ะ ฉันไม่รู้ นี่นายเกี่ยวข้องอะไรกับ ซุปเปอร์แมน หรือเปล่าเนี่ย?

Val : ไม่ นี่คือสัญลักษณ์ของบ้านตระกูลเอล ลาร่า กับ จอร์-เอล รับฉันเข้าไปอยู่ด้วย หลังจากที่ครอบครัวของฉัน...

Val : หลังจากที่พวกเขาไปพูดความจริงที่ดูหมิ่นผู้อำนาจจนโดนลงโทษ


Val : และเมื่อเวลาของดาวคริปตันมาถึงจุดสุดท้าย ลาร่า กับ จอร์-เอล ก็ช่วยฉันไว้

Val : เขาส่งฉันออกมา พร้อมกับลูกและญาติของพวกเขา และกับ...ใครอีกคน

Val : ชุดนี้ถูกออกแบบมาเพื่อให้รอดชีวิตในการเดินทางครั้งนั้น และที่ฉันต้องซ่อนมันไว้ เพราะสิ่งที่มันแสดงออกมาบนโลกของนาย

Val : ตอนนี้ คาล-เอล ได้เปลี่ยนสัญลักษณ์นี้ให้กลายเป็นความหวาดกลัวและสิ่งที่น่ารังเกียจ

Val : แต่ฉันก็ทิ้งมันไปไม่ได้ เพราะถ้าทำแบบนั้น มันจะเป็นการหยามเกียรติของชายและหญิงคู่นั้น ที่เลี้ยงดูฉันมา และช่วยฉันไว้

Olsen : ก็จริง เรื่องพวกนั้นฉันก็ไม่ขัดอะไร

Olsen : แล้วนายคิดว่าจะยืนหยัดขึ้นมา และใช้พลังนี้ได้มั้ย? เพราะตอนนี้พวกเราต้องการพลังของนาย


สรุปแล้วตอนนี้ Earth-2 มีชาว Krypton 4 คนที่รอดมาได้ Kal-El, Kara Zor-El และ Val-Zod คือสาม... ใครคืออีกหนึ่ง? ที่แน่ๆตอนนี้โลกนี้กำลังจะกลายเป็น Superman's World เข้าทุกทีแล้ว และเรื่องราวนี้ก็มีท่าทีว่าจะไม่จบลงง่าย ไปต่อใน "Earth-2 : World's End" อีกแน่นอน


Justice League #31


"เจสซิก้า ครูซ แห่งโลก เจ้าถูกเลือกให้เป็นผู้ทำลายโลกใบนี้"

และได้ยินดังนั้น เธอก็พยายามที่จะรื้อของเพื่อหาสิ่งของบางอย่าง

"นี่เจ้ากำลังทำอะไร เจสซิก้า พยายามหลบซ่อนตัวจากข้างั้นหรือ?"

"หลบซ่อนตัว เหมือนกับตอนที่เจ้าโดนเล่นงานและถูกทิ้งไว้ให้รอความตาย"

Jessica : นี่แกรู้ได้ยังไง? มันไม่มีใครรู้เรื่องนั้น

"ข้ารู้ทุกอย่างเกี่ยวกับตัวเจ้า เจสซิก้า"

"และรู้ว่าที่เจ้าหวาดกลัวนั้นเพราะ สิ่งที่เจ้าระบุตัวตนไม่ได้ซึ่งเข้าเล่นงานเจ้ายังอยู่ข้างนอกนั่น มันคือสาเหตุที่เจ้าไม่ยอมออกไปจากที่นี่กว่า 4 ปีแล้ว"

"ความกลัวนั่นแหละที่นำพาข้ามาหาเจ้า และมันก็คือความหลัวที่จะเป็นเชื้อแห่งการทำลายล้างทุกสรรพชีวิตบนโลกใบนี้"

"...ซึ่งก็คือสิ่งที่ฉันถูกตั้งโปรแกรมมา ไม่มากหรือไม่น้อยไปกว่านั้น"

Jessica : แกพูดถูก ว่าฉันกลัว แต่มันเป็นเพราะฉันรู้โลกใบนี้แท้จริงแล้วมันอันตรายแค่ไหนต่างหาก


Jessica : ไม่มีใครรู้ว่าฉันผ่านอะไรมา แต่ฉันก็ยังอยู่รอดมาจนถึงตอนนี้

Jessica : ตอนนี้ฉันไม่รู้ว่าแกมาจากไหน หรือเป็นตัวบ้าอะไร แต่ฉันไม่อยากจะยุ่งกับแก

และที่เธอหาอยู่ก็คือปืนลูกซองที่หยิบมาใช้ยิง Power Ring แต่แน่นอนว่ากระสุนแค่นี้ยิงมันไม่เข้า

"โถ เจสซิก้า นี่มันอาจจะทำให้เจ้าต้องเจ็บสักหน่อยนะ หุ่นเชิดของข้า"

และแหวนก็ทำอะไรบางอย่างกับเธอ... Power Ring คนใหม่กำลังจะถือกำเนิด


ปัจจุบัน คฤหาสถ์เวนย์

Bruce กำลังนั่งจิบกาแฟอยู่กับ Lex Luthor ที่มาหาเขา โดยบอกว่าเขาคือ Batman

Bruce : ผมไม่รู้ว่าคุณพูดถึงเรื่องอะไรนะ ลูธอร์ แต่ผมไม่ใช่แบทแมน


Bruce : และขอพูดตรงๆนะ เล็กซ์ นี่คุณไปได้ความคิดไร้สาระแบบนี้มาจากไหนกันเนี่ย?

Luthor : ไม่เอาน่า บรู๊ซ นายก็รู้ว่าพวกเราไม่มีเวลามาเสียให้กับเรื่องแบบนี้ นายคือแบทแมน

Bruce : ถ้านี่คือความพยายามที่จะทำให้ผมคิดถึงเรื่องข้อเสนอของคุณใหม่ สำหรับการร่วมมือกันด้านการพัฒนาเทคโนโลยีระหว่างเวนย์เอ็นเตอร์ไพรซ์กับเล็กซ์คอร์ปแล้วล่ะก็... ผมก็กำลังฟังอยู่นะ...


การตกลงระหว่าง Bruce และ Luthor จะเป็นอย่างไร... ตัวเล่มออกพรุ่งนี้ครับ

Uncanny Avengers #21


ในอดีต หรือปัจจุบันสำหรับตอนนี้

Wanda ได้นอนอยู่กับ Simon ซึ่งเธอนึกถึงสิ่งที่ Apocalypse Twin บอกเธอเกี่ยวกับการใช้พลังของเธอช่วยเหลือเหล่ามิวแทนส์จาก Red Onslaught ซึ่งก็คือการนำพวกเขามายัง The Ark ลำนี้ แต่เธอก็คิดว่าพวกนั้นก็เป็นเหมือนคนอื่นๆที่คิดจะหลอกใช้เธอเท่านั้น และหากจะทำแบบนั้นมันก็ทำให้เธออดคิดไม่ได้ว่า มิวแทนส์พวกนั้นอาจจะเจ็บปวดและเจ็บแค้นเธอตลอดไป Simon หรือ Wonder Man จึงบอกเธอว่ามันเป็นหนทางเดียว และเป็นแผนการที่ดีที่สุดในตอนนี้ แต่ใครบางคนก็บอกว่ามันไม่น่าจะเป็นแบบนั้น


ซึ่งก็คือ Wolverine ที่ย้อนกลับมาจากช่วงเวลาใน Planet X นั่นเอง เขาได้ย้อนกลับมาหา Rogue เพื่อปรับความเข้าใจกัน ว่า Wanda นั้นไม่ได้ร่วมมือกับ Apocalypse Twin เธอเพียงแค่ถูกหลอกใช้เท่านั้น ซึ่งนั่นเพื่อทำให้ X-Men หันมาเล่นงาน Wanda แต่ตอนนี้ Wolverine ได้ย้อนกลับมาแก้ไขมัน และทำให้พวกเขากลับมารวมตัวกันอีกครั้งเป็นหนึ่งเดียวกัน ทำให้ Rogue สามารถสวมกอด Wanda ได้จากใจจริง และให้เธอลืมเรื่องที่ว่าเธอเคยฆ่า Wanda ไปแล้วครั้งหนึ่ง (ในเล่ม #14) ทิ้งไป (แบบเนียนๆ)


ที่โลกเองก็ย้อนกลับมาก่อนหน้าที่โลกจะระเบิดเช่นกัน ในช่วงเวลาก่อนที่ Celestial จะทำลายโลก Tony ได้ระดมพล Avengers และฮีโร่อื่นๆ กับวายร้ายบางคน มาอธิบายสิ่งที่เกิดขึ้น โดยมี Doom เป็นคนออกแบบระบบสร้างบาเรียกกันการโจมตีของ Celestial จากนั้น Tony ก็กระจายแผนให้คนอื่นๆ แต่ใครบางคนก็มาขัดจังหวะอีกรอบ


และนั่นก็คือ Cap ที่ยังไม่ตายจากผลการย้อนเวลา รวมไปถึงสมาชิกคนอื่นๆของ Uncanny Avengers ซึ่ง Cap ได้มาที่นี่เพื่อบอกแผนการเดียวที่จะหยุดยั้ง Celestial ไว้ได้ นั่นคือการรวมทุกๆคนให้เป็นหนึ่งเดียวกัน Tony จึงบอกว่าพวกเขากำลังทำอยู่นี่ไง และดีใจที่ Cap มาร่วมด้วย แต่ Cap ก็บอกว่ามันไม่ใช่แบบนั้น และพวกเขาจะทำได้ถ้าหากทำตามที่พวกเขาบอก ทุกๆคนเลยรอฟัง และคนที่ก้าวออกมาบอกก็คือ Rogue

Rogue : มันก็ง่ายๆ พวกนายทุกคนต้องเอาพลังของพวกนายมาให้ฉัน


พระแม่ Rogue กำลังจะได้เกิดแล้ว เมื่อก่อนเคยรวมพลพลังของหลายๆคนมาใช้ แต่ตอนนี้เธอจะไปไกลกว่านั้นแน่ๆ เมื่อจะเอาพลังของเหล่าฮีโร่ตรงนี้ทุกคน... รอชมพลังของ God Rogue กันได้เลย

Rogue ที่ดูดเอาพลังของ X-23, Wolverine, Angel, Colossus และ Psyocke มาใช้

เผื่อไม่รู้กัน Rogue สามารถดูดกลืนพลังของฮีโร่คนอื่นๆนอกจากมิวแทนส์หรือ X-Men ได้ครับ เช่นอันนี้เธอดูดมาจาก She-Hulk จนตบอีกฝ่ายคว่ำพร้อมอัด Iron Man ที่เป็นเกราะ (ไม่มี Tony ข้างใน) จนทะลุ ซึ่งจริงๆดูดพลังของ Ms.Marvel จนอีกฝ่ายความจำเสื่อมก็เคยมาแล้ว




Secret Origin #3


ทุกๆอย่างเริ่มจากวันนั้น วันที่เครื่องบินของพ่อของ Hal ตกในระหว่างการบินทดสอบ และพ่อของเขาตายในกองเพลิงนั้นต่อหน้าต่อตาเขา


ในงานศพ 3 แม่ลูก ได้เฝ้ามองหลุมศพของพ่อ Hal ได้เติบใหญ่ขึ้นด้วยความคิดที่ว่าเขาจะต้องเติบโตเป็นคนที่ดูแลบ้านหลังนี้ ส่วน Jim น้องชายของเขายังเด็กจนเขาคิดว่าแทบจะจำพ่อของเขาไม่ได้ด้วยซ้ำ ส่วนแม่ของพวกเขาก็ได้แต่ลูกไล้ไม้กางเขนเพื่ออธิษฐานให้เรื่องเลวร้ายนี้ไม่เกิดกับพวกเขาที่เหลือ


แต่ในท้ายที่สุด Hal ก็เลือกที่จะบินไปตามความตั้งใจของตัวเอง เพื่ออิสระภาพและหลีกหนีจากความกลัวในใจของเขาเอง


อีกหนึ่งเรื่องราว

Tim Drake ได้สืบค้นข้อมูลของ Batman และตอนนี้เขาคิดว่ามันเข้าท่าแล้ว เมื่อคิดว่า Bruce Wayne ก็คือ Batman ในที่สุดเขาก็ค้นพบความจริงเกี่ยวกับตัวตนลับของเขา


ซึ่งเมื่อเขาเอาฐานะต่างๆของ Bruce มาคิดดูอีกที เขาเป็นทั้งเพลย์บอย, ซุปเปอร์โมเดล, ดาราหน้าใหม่ของฮอร์ลิวูด อีกทั้งเขายังมีอำนาจสั่งการบริษัทของตัวเองในระดับที่บอร์ดบริหารยังไม่สามารถขัดได้ มันดูเป็นหน้าฉากที่ยอดเยี่ยมจริงๆ จนไม่น่าจะมีใครคิดได้ว่าเขาจะมีอีกตัวตนคือ Batman เว้นแต่ Tim Drake คนนี้ แต่เมื่อเปิดข่าวดู กลับกลายเป็นว่าในขณะที่ Batman เล่นงานคนร้าย Bruce กลับออกมาเดินคู่กับนางแบบคนหนึ่งในงาน ทำเอา Time เซ็งไปเลย ทั้งๆที่คิดว่าตัวเองคิดถูกแล้วแท้ๆ


จุดกำเนิดของเหล่าฮีโร่อีกรอบ ซึ่งเรื่องราวเหล่านี้นั้นเหมาะกับคนที่ยังไม่รู้ความเป็นมาของพวกเขา หรือคนที่ต้องการจะรู้ต้นกำเนิดของพวกเขาในจักรวาล New 52 ซึ่งยำใหม่อีกรอบหลังจาก Zero Month เมื่อ 2 ปีก่อน

No comments:

Post a Comment