Invincible Iron Man #1
เรื่องโดย : Brain Michael Bendis | ภาพโดย : David Marquez
สำนักพิมพ์ : Marvel Comics
เข้าสู่ศักราชใหม่, จักรวาลใหม่, พร้อมเกราะใหม่ของ Tony Stark เกราะที่วิวัฒนาการถึงจุดสูงสุด!
เป่ยจิง
ชายคนหนึ่งได้มาถึงที่นี่พร้อมรับคีย์การ์ดสำหรับเข้าห้องที่มีคนกำลังรอเขาอยู่
เขาได้ลอบนำของจาก A.I.M. มาเสนอขายให้แก่คนที่กำลังนั่งอยู่ตรงหน้าเขา เพราะเขาต้องการเงินที่จะทำให้เขาสามารถหลบหนีหายตัวไปได้ และบอกให้อีกฝ่ายเปิดของเช็คดูได้เลย
และคู่เจรจาการค้ากับเขาก็คือ Madame Masque เธอได้ทำการเปิดกระเป๋าและในนั้นก็เรืองแสงสีทองออกมา จากนั้นเธอก็ลงมือฆ่าชายคนนั้นในทันที พร้อมนำของไป
ในห้องทำงานของ Tony Stark
เขากำลังง่วนสร้างเกราะชุดใหม่อยู่ ภายหลังจากที่พบว่าเกราะชุดเก่าของเขามันตกยุคไปแล้ว ซึ่งข้างๆก็มีหนังสือพิมพ์ที่พาดหัวข่าวว่า “โทนี่ สตาร์ก อนาคตที่ล้าหลัง?” วางไว้ มันผลักดันให้ Tony ต้องการที่จะสร้างเกราะที่เต็มไปด้วยแนวคิดใหม่ๆ สิ่งที่แสดงถึงวิวัฒนาการที่จะทำให้ทุกๆคนต้องตกตะลึง และทำให้ทุกคนเชื่อมั่นได้ และหลังจากผ่านมาหลายเดือนในที่สุดเขาก็ทำสำเร็จ
และนี่ก็คือเกราะใหม่ของเขา ที่รวบรวมข้อมูลจากเกราะต่างๆมาอยู่ในเกราะเดียว มันสามารถที่จะเปลี่ยนรูปร่างหรือสีได้ตลอดตามความเหมาะสมของภารกิจ นอกจากนั้นมันจะไม่ได้ทำการเชื่อมต่ออะไรกับร่างกายของเขาแต่จะเชื่อมต่อโดยตรงกับระบบประสาทแทน และเขาก็อยากจะลองเอามันไปทดสอบดูจะแย่แล้ว แต่ก็มีเสียงที่ขัดเขาขึ้นมาเสียก่อน
และนั่นคือเสียงของ Friday หรือ A.I. ตัวใหม่ของเขาที่มีรูปลักษณ์เป็นผู้หญิง เธอได้บอกว่าเขายังทดสอบมันไม่ได้ เพราะเขามีนัดเดทอยู่หลังจากนี้กับ Dr.Amara Perera นักชีวฟิสิกส์ชาวศรีลังกา และเธอได้เตือนว่าเขาไม่ควรจะไปสาย เพราะผู้หญิงจะไม่ชอบเอา Tony เลยต้องรีบแจ้นไปแต่งตัวในทันที
และเขาก็มาถึงก่อนเวลานัดทำให้ในภัตราคารที่ไม่มีใครอยู่เลย จากนั้น Dr.Amara ก็มาถึงและพบว่ามันไม่มีใครอยู่ในนี้เธอจึงเดาว่า Tony คงจะเหมาทั้งภัตราคารไว้แล้ว และเขาก็บอกว่าเขาทำแบบนี้เฉพาะเวลาพาสาวมาดินเนอร์เท่านั้น จากนั้นเขาก็พล่ามเรื่องที่เขาเคยออกไปสู้กับเหล่าร้ายให้ฟัง และเธอก็ดูจะแปลกใจเพราะเธอเคยได้ยินมาจากเพื่อนสาวว่า Tony มักจะมาสาย และสวมเกราะมา พร้อมพล่ามเรื่องที่เขาเคยทำให้ฟัง แต่หนนี้เขากลับทำแค่อย่างเดียว Tony เลยบอกว่านี่เป็นเขาคนใหม่ ซึ่งเพิ่งจะเปลี่ยนไปเมื่อ 4 ชั่วโมงที่แล้วนี่เอง
Stark Tower, โอซาก้า ประเทศญี่ปุ่น
Madame Masque ได้ลอบเข้าไปขโมยของบางอย่างออกมาจากในตึก และโดนไล่ตามโดยหน่วยรักษาความปลอดภัยที่ดูเหมือนนินจา
แต่พวกนั้นก็ไม่สามารถที่จะหยุดเธอไว้ได้
Stark Tower, นิวยอร์ก
Tony ได้พา Amara มายังชั้นบนสุดของบริษัท และคุยเรื่อยเปื่อยกับเธอพร้อมหยอกเธอว่า ถ้าเขาพาเธอมาที่นี่เพื่อให้แค่เธอประทับใจเขาคงจะโดน Thor โผล่มาเพราะมีเหตุฉุกเฉินแน่ๆ และ Thor ก็มาจริงๆ Tony เลยต้องขอเวลาจาก Thor โดยไม่ให้ Amara รู้ และเข้าประเด็นที่เขาอยากจะคุยกับ Amara ในทันที
Tony ได้ถามว่าเธอมีสิ่งที่จะสามารถเปลี่ยนโลกได้บ้างมั้ย บางสิ่งที่โลกไม่พร้อมที่จะเผชิญกับมัน ซึ่งเขาคิดว่าเธอน่าจะมีสักอย่างสองอย่าง ซึ่งที่เขาต้องถามก็เพื่อคิดเผื่อไว้ว่ามันอาจจะถูกนำไปใช้เพื่อสร้างเรื่องเลวร้ายได้ Amara จึงบอกว่าเธอมีอยู่อย่างนึง นั่งคือยาที่สามารถรักษายีนกลายพันธุ์ของมนุษย์กลายพันธุ์ได้
และนอกจากนั้นยาของเธอยังไม่ส่งผลอะไรต่อเจ้าของยีนอีกด้วย แต่เธอก็เลือกที่จะไม่เปิดเผยมัน เพราะถ้าเธอเผยแพร่มันออกไป ในท้ายที่สุดมันจะมีการออกกฎหมายที่ให้ประชาชนทุกคนเข้ารับการรักษาและมันจะส่งผลให้เกิดความวุ่นวายขึ้น เธอพยายามป้องกันมันให้ดีที่สุดโดยที่เธอไม่มีการคัดเลือกสูตรของมันลงไปที่ไหนและเก็บมันไว้ให้ตายไปกับเธอเท่านั้น แต่ Tony ก็คิดว่านั่นยังไม่ดีพอ เพราะบนโลกใบนี้มีคนที่อ่านใจได้อยู่มากมาย ดังนั้นเธอควรจะหาการป้องกันในกรณีนี้เผื่อไว้ด้วย และ Tony ก็คิดว่าพวกเขาน่าจะหาทางได้ เขาได้ใช้โอกาสนี้ค่อยๆเข้าใกล้เธอ
แต่ก็ต้องโดน Amara ถามว่าเขาเข้ามาใกล้ขนาดนี้ทำไม Tony เลยตอบไปตรงๆว่าเขาก็จะจูบเธอน่ะสิ แต่ Amara นั้นไม่ยอมเขาง่ายๆ ทำให้ Tony ดูจะแปลกใจที่หนนี้เขาต้องรอจนกว่าเธอจะยอมให้เขาจูบ แต่ทว่าเรื่องก็เข้ามาเสียก่อน โดย Friday ได้ติดต่อเข้ามาหา Tony เพราะมีเรื่องเร่งด่วน นั่นคือการกลับมาของ Madame Masque และมันก็ทำให้ Tony ต้องทำหน้าจริงจังในทันที
Latveria
ล่าสุด Madame Masque ได้บุกเข้าไปในปราสาทของ Doom โต้งๆ พร้อมขโมยบางอย่างออกไปโดยไม่มีใครรู้
ฝั่ง Tony ที่ทราบเรื่องก็ขอโทษ Amara และบอกให้เธอกลับไปก่อน ส่วนเขาก็ได้สวมเกราะใหม่ในทันทีโดยเปิดการใช้งานมันจากกำไลข้อมือ และเกราะก็ค่อยๆขยายตัวออกมาปกคลุมร่างของเขาไว้
จากนั้น Tony ก็บินออกไปในทันที
ในระหว่างเดินทาง Tony ก็สอบถาม Friday ว่าทางชิลด์สามารถแกะรอยการหลบหนีของ Madame Masque ได้มั้ย แต่คำตอบก็คือไม่ แล้วไม่นานนักเขาก็มาถึงจุดหมายนั่นคือปราสาทของ Doom และคิดว่าหนนี้ Madame Masque ทำเรื่องงามหน้าแล้วที่มาบุกที่นี่ แต่เขาก็พบว่าปราสาทแห่งนี้มันแทบจะเรียกได้ว่าเป็นซากปรักหักพังมากกว่า จึงได้สอบถาม Friday ว่ามันเกิดอะไรขึ้น
สิ่งที่เกิดขึ้นก็คือ Doom สูญเสียการปกครองประเทศไป ทำให้เกิดความขัดแย้งภายใน มีการก่อการปฎิวัติ, การรุกรานจากประเทศเพื่อนบ้าน ซึ่งถ้า Doom ไม่อยู่ในประเทศแล้วล่ะก็มันคงจะถูกทำลายไปแล้ว และตอนนี้กลุ่มปฎิวัติ 27 คนก็กำลังล้อมกรอบเขาอยู่
พวกกลุ่มปฏิวัติได้บอกให้ Tony ยอมจำนนและถอดเกราะของเขาออก Tony ก็พยายามที่จะอธิบายว่าเขามาที่นี่เพราะได้ยินข่าวว่ามันถูกบุกรุกและเขาต้องการจะมาช่วย แต่ดูเหมือนพวกนั้นจะฟังภาษาอังกฤษไม่ออก Friday เลยอาสาจะแปลให้ แต่แล้วคลื่นเสียงก็ดังขึ้นจนส่งผลให้พวกนั้นสลบเหมือดกันหมด
Friday : การโจมตีด้วยคลื่นเสียง ตัวเกราะทำการปกป้องคุณโดยอัตโนมัติ
Tony : มันมาจากทางไหน
Friday : ด้านหลังคุณ
??? : ยินดีต้อนรับ โทนี่ สตาร์ก
??? : นั่นคือนายถูกมั้ย? ช่างโชคดีจริงๆ เพราะฉันกำลังจะออกไปตามหานายอยู่พอดี แล้วจู่ๆนายก็มาอยู่ที่นี่
Tony : นายเป็นใครกัน? ฟรายเดย์ เขาเป็นใคร?
??? : ก็นะมันก็ไม่ผิด ถ้านายจะจำฉันไม่ได้
Tony : เดี๋ยวนะฉันว่าฉันคุ้นๆน้ำเสียงนั่น
??? : เหตุผลที่ฉันอยากจะหาตัวนาย ก็เพราะเราทั้งคู่กำลังตกอยู่ในสถานการณ์ที่แปลกประหลาด ที่ทำให้พวกเราต้องการตัวอีกฝ่ายอย่างมาก
Tony : เสียงนี่มัน
Friday : จากการแสกนอย่างละเอียด... เขาคือ... เขาคือ วิคเตอร์ วอน ดูม
Friday : นี่คือ ด็อคเตอร์ดูม!
โปรดติดตามตอนต่อไป
คุยกันท้ายเล่ม
เล่มแรกเปิดมาคุยเยอะไปหน่อย (จริงๆคือทั้งเล่ม) และจบท้ายเล่มได้น่าติดตามดีเพราะทำให้อยากรู้ว่า Doom คนนี้เป็นอย่างไร แต่ที่แน่ก็คือมันเป็นการสปอยไปในตัวว่า Doctor Doom นั้นกลับมาหลัง Secret Wars แน่นอน
สำหรับสปอยหลังจากนี้ผมจะมีการปรับเปลี่ยนหน่อยนะครับ พอดีล่าสุดมีเหตุที่ทำให้ผมต้องปรับวิธีการลงใหม่ โดยหลักๆก็จะเป็นแบบเล่มนี้นี่แหละ
ตรง เป๋ยจิง เปลี่ยนเป็น ปักกิ่ง ก็ได้ครับเพราะความหมายเหมือนกัน
ReplyDeleteหรือจะเอาแบบเดิมก็ได้ครับ XD
Beijing น่าจะแปลว่าปักกิ่งนะครับ
ReplyDeleteไม่ค่อยชอบดีไซน์เกราะใหม่เท่าไหร่ มันดูแปลกๆ อาจจะเพราะการลงสีสดๆ แบบนี้
ReplyDeleteแต่หน้ากากใหม่วิทนี่ย์ ฟรอสต์สวยดีจัง
ปล.เมืองหลวงของจีน Peking (ปักกิ่ง) ซึ่งต่อมาเกิดมีระบบอักขระโรมันมากำกับเสียง (พินอิน)
เปลี่ยนวิธีเขียนเป็น Beijing (เป่ยจิง) น่าสนใจว่าต่อไปเราควรจะเรียกมันว่าอะไรดี :-D
จากที่อ่านมามันจะเรียกได้ 2 แบบเลยครับ แต่คนไทยจะคุ้นกับปักกิ่งมากกว่า ในเล่มนี้ผมขอยึดตามคำภาษาอังกฤษที่ใช้ว่า Beijing จึงเป็นเป่ยจิงไปนะครับ
ReplyDeleteโทนี่คนนี้ของโลกไหนล่ะเนี่ย
ReplyDeleteเกราะจากกำไลข้อมือ.......
ReplyDeleteผมว่ามันคุ้นๆนะ